-

***

18 ต.ค. 2554

เข้าใจทุกข์อย่างซื่อตรง...




เมื่อใดที่เราเข้าใจถึงความทุกข์อันถ่องแท้ เห็นความทุกข์แจ่มแจ้งชัดเจน

เมื่อนั้นแล้วทุกข์ก็จะหยุดมาเยี่ยมเยียน ทุกข์ก็จะกลายเป็นประตูสู่แดนนิพพานแต่มนุษย์ไม่ยอมเห็นสักทีแม้เราจะพูดถึงคำนี้แล้วเราก็ยังหวาดหวั่นและกลัวกับความทุกข์อยู่ดี ทุกข์น่ากลัวหรือ (น่ากลัว)ทั้งที่รูปร่างทุกข์มีหรือเปล่า (ไม่มี) ทำร้ายเราเจ็บไหม (เจ็บ) ไม่มีรูปร่างแล้วทำร้ายเจ็บไหมน่าจะไม่เจ็บใช่หรือไม่ แต่ใจเราชอบไปขวางทุกข์เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ หากทุกข์มา ใจเราก็เหมือนอยากลองดี โดนสักหน่อยจะเป็นไร ใช่หรือไม่ เขาไม่รักก็น่าจะทำใจว่าช่างเขาเถอะ แต่ก็ยังดื้อดึงจะให้เขารักจนได้ แล้วเป็นอย่างไร ก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่

อย่าลืมว่า ฟ้ามักจะตัดส่วนที่เกินและเพิ่มส่วนที่ขาด

ฉะนั้นอะไรที่มันเกินออกจากใจเรา เขาไม่ต้องการ เรารีบตัดเสีย อย่าให้คนอื่นตัดเลยถูกไหม คนอื่นตัดเราเจ็บ เราตัดเสียแต่เนิ่นๆ เราจะไม่เจ็บมากเท่าไร เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราต้องมีความเข้าใจและเชื่อมั่น แต่เข้าใจและเชื่อมั่นตัวนี้หรือใจนี้ดี (ตัว, ใจ)

ทำไมต้องเชื่อมั่นทั้งตัวนี้และใจนี้ล่ะ

คนที่สู้รบปรบมือไม่ใช่กายแต่คือใจใช่หรือไม่ คนที่รับว่าสุขหรือทุกข์ไม่ใช่กายแต่คือใจก่อน ฉะนั้น ให้กายเป็นนาย ใจเป็นบ่าวได้ใหม (ไม่ได้) ใจต้องเป็น (นาย) กายต้องเป็น (บ่าว) เมื่อใจเป็นนาย เราก็ต้องรักนายของเราและเชื่อมั่นในนายของเรานี้ นายของเรานี้ต้องมีอะไรต่อสู้กับทุกข์ (มีขันติ อดทน ความทุกข์เป็นบ่อเกิดของปัญญา) เอาใจไปสู้กับทุกข์อย่างไร

เมื่อสักครู่เราบอกต้องเข้าใจและเชื่อมั่นใจของเราใช่หรือไม่

เข้าใจอะไร เข้าใจตนเองหรือเข้าใจผู้อื่นหรือเข้าใจสถานการณ์ที่ต้องเจอ (เข้าใจทุกอย่าง) ถูกต้อง ต้องเข้าใจทุกอย่าง แล้วเชื่อมั่นอะไร(เชื่อมั่นใจของเรา) เชื่อมั่นในใจของเราว่า หากเราเข้าใจแล้วเราย่อมสามารถเอาชนะทุกข์ได้ หากเรามองออกแล้ว เราย่อมมีปัญญาเอาชนะทุกข์ได้ แก้ไขทุกข์ได้ การแก้ไขนั้นแก้อย่างไร ให้ใจนี้ออกไปทางสร้างสรรค์ เมื่อยามทุกข์มาเราต้องยิ้มสู้ เมื่อยามลำบากมาเราต้องฮึดสู้

แต่ความเชื่อมั่นและความเข้าใจจะเกิดได้ด้วยจิต

จิตนั้นต้องชื่อตรง เรามักจะใจลำเอียง ใจเบี่ยงเบน ใจที่มีความรู้แบบเข้าข้างตัวเองทำให้แม้ใจสู้ก็กลับเอาชนะทุกข์ไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราเข้าใจนั้นบิดเบี้ยวเพราะว่าที่เราตัดสินว่าทางนี้คือทางออก เป็นทางที่เราเข้าข้างตนฉะนั้นถึงแม้จะพูดมาทั้งหลายทั้งมวล เริ่มต้นก็คือใจต้องสะอาด บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเจอสิ่งใด ไม่ว่าจะเจอคนแบบไหน ไม่ว่าจะเจออุปสรรคมากมายเพียงใด เรากลับมายืนแล้วมองที่ใจด้วยความสะอาด บริสุทธิ์ และซื่อตรงเป็นหลัก

ทำไมเขาจึงว่าเราเช่นนี้ ทำไมเราจึงทุกข์เช่นนี้

ลองหยุดมองที่ใจของเราดู ใจเราเอียงไหม ใจเราเห็นแก่ตัวหรือเปล่า ใจเรายึดมั่นเกินไปไหม ใจเรารักตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า ใจเราเกลียดเขาหรือไม่ เมื่อความชื่อตรงมีอยู่ในใจ ความเข้าใจจะแจ่มชัด เมื่อความเข้าใจแจ่มชัด ความมุ่งมั่นหรือการจะทำสิ่งใดย่อมมีอันสำเร็จได้

ฉะนั้นก่อนจะไปเจอทุกข์ ก่อนจะไปเจอสุข ก่อนจะไปเจอเรื่องราวโลกหลายหลากนั้น สำคัญที่สุดคือผู้นำของเรา ผู้นำที่เรายกให้เป็นนายของเรานี่แหละ มีความชื่อตรงไหม มีความเคารพผู้อื่นหรือเปล่า และมีความยุติธรรมมากเพียงใด หากเราเข้าใจได้ถึงเท่านั้นจะก้าวไปทางซ้ายก็ไม่ต้องกลัว จะก้าวไปทางขวาก็ไม่ต้องหวาดหวั่น เขาจะว่าแรงจะว่าเบาเขาจะชมมากชมน้อย เราจะยืนได้อย่างถูกต้อง และก้าวเดินได้อย่างสง่างามจริงไหม

สิ่งที่เรากล่าวมานี้ก็คือสิ่งที่ท่านประสบเราเองก็เคยประสบมาก่อนแต่เมื่อเราเจอแล้วเราไม่นิ่งเฉย

เราพยายามคิดหาทางทะลุทะลวงออกไปให้จงได้ และเมื่อเราทะลุทะลวงออกไปได้ เรากลับพบประตูแห่งแดนนิพพาน ประตูแห่งการหลุดพ้นที่ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เราจึงรักทุกข์ตั้งแต่วันนั้นและตลอดไป

วันนี้พูดถึงทุกข์ทีไรก็ยังรักทุกข์อยู่และอยากขอบคุณทุกข์จริงๆ

เพราะ ทุกข์ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริงและอะไรทำให้เราได้เป็นพุทธะแต่ท่านยังมองไม่เห็นสักทีเจอทุกข์ทีไรก็ถอยหลังก่อน เจอทุกข์ทีไรก็ไม่เอาแล้ว

ชีวิตนี้ท่านอย่ายอมแพ้

ต้นไม้ถูกบิดผลไปหนึ่งผล แล้วมีผลต่ออีกไหม เด็ดไปหนึ่งใบยังมีใบต่ออีกไหม แล้วเจ็บแค่นี้ทำไมถึงกลัว เจ็บแค่นี้ต้องสู้อีกต่อไปใช่หรือไม่ แต่สู้อย่างคนที่เข้าใจและมีบทเรียนสอนใจ อย่ากลัวทุกข์จะกลัวก็กลัวสุขดีกว่า เพราะสุขทำให้เราหลง ทำให้เราคิดว่าเราเก่งทำให้เราคิดว่าเราแน่ เราถูกเสมอ ไม่มีใครถูกกว่าเราแล้ว และบางครั้งสุขยังทำให้เราไม่อยากจะทุกข์ แล้วอะไรที่ทำให้ท่านทุกข์ บอกเราบ้างได้ไหม เผื่อเราจะช่วยแก้ใด้ อะไรที่ทำให้ท่านทุกข์ ความรู้ทำให้ทุกข์ไหม

บอกรักแบบนี้สิโดน...



หลายคนคงคิดหา “สื่อ” บอกรัก วุ่นวายไปหมด แต่คุณรู้หรือเปล่าว่า สื่อไหนๆ ก็ไม่โดน...เท่ากับคำบอกรักหรือ การบอกให้คนที่คุณกำลังรักรู้ใจ เข้าถึงความรู้สึกหรอกค่ะ . . . นี่คือส่วนหนึ่งของคำบอกรักที่รับรองโดนใจแน่นอน

ส่วนจะโดนแบบเขาตอบรับคุณ หรือโดนใจแบบจดจำความเว่อร์ของคุณ
หรืออาจจะหนักขนาดได้ยินแล้วต้องวิ่งไป...แหวะใส่โถส้วมล่ะก็อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ...


มุกแรก...

“รักสะกดยังไงนะเธอ” หนุ่มถาม

“L-O-V-E” สาวตอบ

“ขอบคุณนะที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก” เป็นไงละ

มุกสอง...

“ที่บ้านมีแก้วกี่ใบอ่า??” สาวถาม

“จำไม่ได้ ถามทำไม” หนุ่มงง

“จะได้เทใจให้หมดเลย”

มุกสาม...

“ที่บ้านมีน้ำมันไหม...”

สาวตอบว่า “มี ทำไมเหรอ”

หนุ่มตอบไปเลยว่า...“จะเอามาทอดสะพานรักของเรา”

มุกสี่...

“นี่เธอๆ ช่วยหันหน้ามาให้ฉันเห็นทั้ง 2 ข้างหน่อยซิ”

สาวถาม ทำไมล่ะ หนุ่มต้องรีบบอกว่า.. “ก็ฉันไม่อยากหลงรักเธอข้างเดียวไง”

มุกห้า...

“เธอทำไมไม่ตัดผมล่ะ ...”

สาวถาม “ทำไมล่ะ”

หนุ่มอย่าลืมตอบ.. “ก็มันยาวจนมัดใจเราแล้ว”

มุกหก...

“นี่ๆ ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม” สาวบอกหนุ่ม

หนุ่มคงต้องตอบว่า “ได้สิ”

สาวก็แย็บไปเลยว่า “ช่วยเดินไปตรงกระจกแล้วบอกคนนั้นว่าเราคิดถึง”

มุกเจ็ด...

“เธอๆ มีบาทหนึ่งปะ จะโทร.บอกแม่ว่าเจอคนที่ถูกใจแล้ว” โอ้! สุดยอด

มุกแปด...

หนุ่มถาม “ทำไงดี...เราตาบอดสีอ่ะ”

สาวทำท่าตกใจ. “โห..จริงอ่ะ แน่ใจเหรอ?”

ชายหนุ่มรีบตอบว่า.. “อืมม..แน่ใจดิ..ก็เราเห็นโลกทั้งใบเป็นสีชมพูอ่ะ”

มุกเก้า...

“เธอเห็นอะไรตรงนั้นไหม” (ชี้มือไปข้างหน้า)

สาวถาม.. “เห็นอะไรเหรอ”

หนุ่มตอบแบบอายๆ.. “ก็เห็นอนาคตของเราสองคนไง”

มุกสิบ...

“ขอโทษครับ เห็นกุญแจแถวนี้ไหมครับ

สาวสวย.. “ไม่เห็นค่ะ กุญแจเป็นแบบไหนค่ะ”

หนุ่มตอบว่า.. “แบบที่มันไขหัวใจคุณได้อะครับ”

มุกท้ายสุด (แต่ไม่ใช่สุดท้าย เพราะความรักไม่รู้มีวันจบจริงไหมคะ . . .
ยังมีอีกหลายมุกเด็ดที่เราสามารถบอกกับคนรักได้อีกมากมายเลยค่ะ)

“ฟาร์มอะไรใหญ่ที่สุด” สาวทำหน้างง..งง!!!

ชายรีบสวนว่า.. “ก็ฟามรักของเราสองคนไง”

22 ประโยคสุดโดนใจ...


1. เราเป็น "คนหลายใจ" เพราะ ให้เธอได้ทั้ง จริงใจ, เข้าใจ, ใส่ใจ แต่ว่า... เราดันลืมไปอย่าง เราลืม "เผื่อใจ "



2. อย่าตีหน้า "เศร้า" แล้วเดินมาบอกว่า "เจ็บ" เพราะฉันเป็นพวกตีหน้า "เซ็ง" แต่ "เจ็บ" กว่าเธอหลายเท่า



3. เวลาเล่น MSN คุยกับเธอฉันมีสถานะออนไลน์ แต่ถ้าเวลาใดที่ฉันอยู่กับเธอฉันมีสถานะเป็นอะไร??



4. "คนที่ไม่ใช่" ทำมา 100 แต่ได้คะแนนแค่ 1 "คนที่ใช่" ทำมาแค่ 1 แต่อาจได้คะแนนเป็น 100



5. บางคนรักเขา "ไม่กล้าบอก" แต่บางคนกลับหลอก แม้กระทั่งคนที่ "บอกรัก"



6. รู้มั้ยทำไมถึงบอกว่า "เมาเหล้า" ดีกว่า "เมารัก" เพราะ "อาการแฮงค์" ฟื้นตัวเร็วกว่า "อาการเฮิร์ท"



7. เลย เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย แต่ละเลยเป็นจังหวะหนึ่งของคนหมดใจ



8. คนโสดก็เหมือนต้นไผ่ ข้างนอกดูแข็งแกร่งเพียงใด แต่ข้างในมัน "ว่างเปล่า"



9. "ฤดูหนาว" ถูกสร้างไว้เพื่อให้รู้ว่า...คนเราไม่ควรอยู่คนเดียว



10. ผู้ชายคนนี้ ไม่ได้มีไว้รัก เเต่มีไหล่ให้เธอพักยามเสียใจ



11. เวลาเธอเหงาไม่มีใคร ให้มอง Keyboard ไว้ ว่าจะมี I อยู่ข้าง U เสมอ



12. ความรักให้ได้แค่ครั้งละคน แต่ความเชื่อใจให้ได้แค่คนละครั้ง



13. "ผู้ชาย" ไม่ได้ต้องการ "นางฟ้า" แต่!! ต้องการ "คนที่มีเวลา" ให้กัน... "ผู้หญิง" ไม่ได้ต้องการ "เทพบุตร" แต่!! ต้องการ "คนที่หยุดสักที"



14. เช้ากินข้าวไม่ลงเพราะคิดถึง เที่ยงกินอะไรไม่ได้เพราะคิดถึง เย็นก็ไม่อยากกินเพราะคิดถึง พอดึกๆ ก็นอนไม่หลับเพราะว่า หิว!!



15. ถึงผมจะไม่หล่อเหมือนคนอื่นๆ แต่ผมก็จะไม่มีคนอื่นๆ เหมือนคนหล่อ



16. คนล้านคนมีล้านใจ ยากแท้หาหนึ่งใจเข้าใจคนหนึ่งคน



17. เบื่อจริง!! กับ "คำว่ารัก" เบื่อนักกับ "คำว่าผิดหวัง" เบื่อใจตัวเองที่ "โง่อยู่ลำพัง" เบื่อใจเธอนั้นที่มา "หลอกลวง"



18. อกหักก็เหมือนสะอึก ทรมาน หายยาก น่ารำคาญ แต่ไม่เคยเห็นใครตายเพราะมัน



19. ความเหงาเริ่มคืบคลาน ไร้ความหวานที่โหยหา หากรักไม่ต้องการเวลา แล้วใยฉันถึงเดียวดาย

20. เพราะใจมันจำ เลยทำให้ใจเจ็บ ไม่อยากคิดจะเก็บ แต่มันก็เจ็บเพราะยังจำ



21. "ความรัก" ไม่ใช่ ความผิด แต่ที่ผิด คือ "เลือกรักผิดคน"



22. สี่ห้องหัวใจยังว่าง ส่วนปอดสองข้าง "มะเร็งจอง"

เวลา นาฬิกา...แตกต่าง แต่เติมเต็ม







แปลกไหม…
ใครๆ ก็คิดว่าเวลากับนาฬิกาเป็นสิ่งที่คู่กันเสมอ
จริงๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักหน่อย


เวลา . . . เดินไปข้างหน้า
นาฬิกา . . . เดินอยู่ที่เก่า
เวลา . . . เราไม่อาจย้อนกลับ
นาฬิกา . . . เราหมุนย้อนมันได้
เวลา . . . เมื่อสูญเสียไปแล้วไม่อาจเรียกร้องคืน
นาฬิกา . . . เสียก็ซ่อม หรือซื้อใหม่ไปเลย
เวลา . . . ได้มาฟรีๆ ไม่ต้องแลกกะอะไร
นาฬิกา . . . ยิ่งสวยยิ่งแพง ใช้เงินซื้อมันมาทั้งนั้น แล้วอย่างนี้ มันจะคู่กันได้ยังไง
ในเมื่อมันแตกต่างกันเหลือเกิน
แต่ถามหน่อย . . . ถ้าไม่มีนาฬิกา จะรู้เวลาไหม
หรือถ้ามีแต่นาฬิกา แต่ไม่รู้จักเวลา จะมีประโยชน์อะไร
ถึง 2 สิ่งจะแตกต่างกัน แต่ถ้ามันจะคู่กันแล้ว
ย่อมมีจุดร่วมกันเสมอ เพียงแต่จะมองเห็นมันหรือเปล่า?
ฉันกับเค้า . . . อาจไม่มีอะไรเหมือนกัน
ฉันกับเค้า . . . มีความคิด และวิถีชีวิตที่ต่างกัน
ฉันกับเค้า . . . อาจเดินกันคนละเส้นทาง
ฉันกับเค้า . . . อาจมีความฝันที่ห่างไกลกัน
ฉัน . . . อาจเหมือนกับเวลา ที่ชอบเดินไปข้างหน้า
หาสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย โดยทิ้งหลายสิ่งไว้ข้างหลัง
เค้า . . . อาจเหมือนกับนาฬิกา ที่ยังเป็นแบบเดิมๆ
ใช้ชีวิตและทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ ในมุมเก่าๆ ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันยังดึงดันจะมองแต่ข้างหน้า
ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันไม่มองไปข้างหลัง

เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังอยู่แบบเดิมๆ
เค้ายังไม่เห็นฉัน . . .
เพราะเขายังก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเขาไป แต่ฉันยังเฝ้ามอง เฝ้ารอ . . .
ความแตกต่าง อาจสร้างกำแพงบังเค้าไว้
แต่ฉันยังเชื่อมั่น ว่าซักวัน สิ่งนั้นน่ะแหละ
ที่จะเชื่อมโยงใจเราเข้าหากัน ความแตกต่าง จะเติมเต็มส่วนที่เราขาดหาย
และสุดท้าย ก็จะเหลือเพียงแค่คำว่า..
". . . กันและกัน . .

10 ต.ค. 2554

ฉันมีความสุข...

 


ยังมีเสียงเพลงที่ทำให้ใจสดใส ดวงดาวมากมายที่ให้เราดูเต็มฟ้า ฉันมีความสุข
มีลมพัดเย็นมาเป็นเพื่อนคลายเหงา มีวันของเราเพียงเราที่ผูกพันธ์ ฉันมีความสุข

มีฉันและเธอ ก็คงเพียงพอต่อใจ เธอมาอยู่ใกล้ฉัน แค่ใจเราอยู่ใกล้กัน

เมื่อไหร่ที่คิดที่ฝันถึงสิ่งใด ฝันนั้นมีเธออยู่ ได้บอกให้รู้ว่าฉันนั้นสุขใจ
เพราะเธอ(นั้น)มีความหมาย (มีค่าให้ใจฉันรักเธอ)

ยังมีถ้อยคำให้จำและยังซึ้งใจ ลืมความทุกข์ดวงใจอุ่นในความรัก ฉันมีความสุข

ไม่เคยต้องการ สิ่งใดมากไปกว่านี้ แค่เธอมาอยู่ใกล้ฉัน แค่ใจมาอยู่ใกล้กัน

เมื่อไหร่ที่คิดที่ฝันถึงสิ่งใด ฝันนั้นมีเธออยู่ ได้บอกให้รู้ว่าฉันนั้นสุขใจ
เพราะเธอ(นั้น)มีความหมาย (มีค่าให้ใจฉันรักเธอ)

เมื่อไหร่ที่คิดที่ฝันถึงสิ่งใด ฝันนั้นมีเธออยู่ ได้บอกให้รู้ว่าฉันนั้นสุขใจ
เพราะเธอ(นั้น)มีความหมาย (มีค่าให้ใจฉันรักเธอ)

เมื่อไหร่ที่คิดที่ฝันถึงสิ่งใด รู้ไหมมีเธออยู่ เธออยู่กับฉันๆก็สุขใจ เพราะเธอมีความหมาย มีค่าให้ใจฉันรักเธอ

ความสุขที่แท้จริง...




มีบางท่านเคยอ่านนิทานเรื่องหนึ่งนานมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า อาจารย์ท่านหนึ่งลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง แล้วบอกให้นักเรียนลองทำให้เส้นตรงเส้นนี้สั้นลงโดยไม่ต้องลบ นักเรียนต่างหาวิธีทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไม่ได้เพราะทุกคนติดอยู่กับภาพลักษณ์ของการลบเส้นเดิมทิ้งไปเพื่อให้เส้นเดิมสั้นลงไป อาจารย์ท่านนั้นจึงขอให้นักเรียนรายหนึ่งเขียนเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่าเส้นเดิม ภายหลังจากที่นักเรียนลากเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่าเดิมแล้ว อาจารย์ท่านนั้นอธิบายให้นักเรียนฟังว่า

"การที่มีคนลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง ไม่ว่าเส้นตรงที่ลากมาจะยาวแค่ไหน เราสามารถทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไปได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบเส้นของคนอื่นให้สั้นลง แต่เราสามารถทำให้เส้นของคนอื่นสั้นลงโดยที่เราลากเส้นของเราให้ยาวขึ้น ยิ่งเราลากเส้นยาวออกไปมากเท่าไหร่เส้นเดิมที่ลากไว้ก็จะสั้นลงไปทุกที เปรียบเหมือนการที่ใครซักคนทำในสิ่งหนึ่งที่ดีอยู่ประสบความสำเร็จอยู่ เราไม่ควรให้ความอิจฉาริษามาก่อให้จิตของเรารุ่มร้อนและหาทางกลั่นแกล้งคนๆนั้นด้วยการหาทางทำลาย เหมือนกับการพยายามลบเส้นของคนอื่นให้สั้นลง ตรงกันข้ามควรจะยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น เหมือนกับที่เรามองความยาวของเส้นตรงที่คนอื่นลากไว้ แต่เราหาทางพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับการพยายามลากเส้นตรงเส้นใหม่ให้ยาวขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ไปลบเส้นของคนอื่น เส้นตรงที่เราลากก็จะยาวขึ้นเรื่อยๆ โดยเส้นเดิมที่เราลากไว้ก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบออกให้สั้นลง"

การคิดในเชิงสร้างสรรค์แบบนี้ทำให้จิตใจของเราโปร่งสบาย ไม่รุ่มร้อน เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้แข่งกับใครแต่เราแข่งกับตัวของเราเองอยู่ตลอดเวลาและเราไม่ได้ไปสร้างศัตรูหรือไปก่อเวรกับคนอื่น ตรงกันข้ามการแข่งขันระหว่างกันเป็นไปในทางเกื้อกูลกันทำให้ระบบโดยรวมมีการเติบโตอยู่ตลอดเวลาไปในทางที่เป็นบวก คงไม่สำคัญว่าคุณต้องชนะคนทั้งหมด สิ่งสำคัญคงอยู่ที่คุณพยายามชนะตัวของคุณเองอยู่ตลอดเวลาต่างหาก เพียงแต่เมื่อใดคุณสามารถชนะตัวของคุณเองได้ ชัยชนะที่ได้ก็จะมีความหมายและทำให้คุณเกิดความภูมิใจ และถ้าคุณยังไม่หยุดพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะชนะตัวคุณไปเรื่อยๆ เมื่อคุณมองย้อนกลับมาเมื่อไหร่คุณก็จะมีแต่ความภูมิใจในชัยชนะที่ขาวสะอาด ชัยชนะที่เป็นแรงขับดันให้คุณพยายามพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

การประสพความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคนมีอยู่หลายวิธี บางครั้งผู้คนต่างพยายามเลียนแบบเส้นทางประสพความสำเร็จของผู้อื่น แต่เมื่อเดินตามเส้นทางนั้นกลับพบว่าไม่ประสพความสำเร็จนัก ความสำเร็จในชีวิตของผู้คนคงไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบอย่างเดียวกันเสมอไป และเส้นทางไปสู่ความสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นทางเดียวกันเสมอไป สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ที่ความสุขใจที่ได้เลือกเส้นทางที่เหมาะกับตนเองมากที่สุดมากกว่า

จงอย่าพยายามเลียนแบบเส้นทางไปสู่ความสุขของผู้อื่น เพราะนิยามความสุขของผู้คนต่างกัน ความสุขที่เราเห็นผู้คนอื่นมีความสุขกันอยู่ ถ้าเราไปอยู่ในสถานะนั้นเราอาจจะไม่มีความสุขอย่างที่เราเข้าใจก็ได้ สุขและทุกข์แท้จริงอยู่ที่ใจของเรากำหนดต่างหาก ลองมองทุกอย่าง อย่างเป็นกลางๆ ไม่เอาความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อคติ มาครอบงำ แล้ววันหนึ่งเราอาจจะค้นพบความหมายของคำว่าความสุขที่แท้จริงของตัวเราเอง

ทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างมีความสุข...

embed allowscriptaccess="never" src="http://i946.photobucket.com/albums/ad307/dream5168/dream5168/dream2011-6-13-04.swf" width="450" height="400" type="application/x-shockwave-flash" Wmode="transparent">
ความเอ๋ย ความสุข

ใครๆทุกคน ชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา

“แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา”

แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ



ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข

ถ้ามันเผา เราก็ “สุก” หรือเกรียมได้

เขาว่าสุข สุขเน้อ อย่าเห่อไป

มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอ่ยฯ

ท่านพุทธทาสภิกขุ



ความสุข เป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ที่สามารถแสวงหาได้ ซึ่งแนวทางในการทำตัวให้มีความสุข มีดังต่อไปนี้

1. การรักษาสุขภาพทางกายให้แข็งแรง

สุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตมีอิทธิพลต่อกันและกัน คนที่มีสุขภาพกายดีย่อมส่งผลให้มีจิตใจร่าเริงเข้มแข็ง การทำให้สุขภาพแข็งแรง ได้แก่การรับประทานอาหารถูกส่วน การพักผ่อนเพียงพอ การรักษาความสะอาดของร่างกาย ตลอดจนการออกกำลังกายอย่างพอเพียง

2. มีความสุขกับการทำงาน

การเลือกทำงานที่ชอบหรือการสร้างความพึงพอใจในงานที่ทำ หาวิธีการทำงานให้มีความสุข พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายหลายอย่างภายในขอบเขตที่สังคมยอมรับ ตามความสามารถของตนเอง และมองเห็นหนทางไปสู่ความสำเร็จได้ แล้วลงมือปฏิบัติอย่างตั้งใจก็ย่อมจะเกิดความสุข เกิดความปิติจากความสำเร็จในงานตามมา

3. รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง

ควรได้สำรวจตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร ต้องยอมรับว่าคนเรามีทั้ง ส่วนดีและส่วนเสีย เราต้องมองหาส่วนดี เห็นคุณค่า ชื่นชม พยายามพัฒนาส่วนดี พร้อมทั้งยอมรับในข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วหาแนวทางปรับปรุงแก้ไข คนที่มีความสุขนั้นไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยพบอุปสรรค ข้อขัดแย้งในใจ หรือไม่เคยพบปัญหา แต่อาจจะเป็นคนที่บางครั้งแก้ปัญหาไม่ได้ จึงต้องใช้ความพยายาม ความอดทน ก็จะสามารถเผชิญปัญหาไปได้

4. มีอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี

ควรมองหาความสุข ความเพลิดเพลิน เพื่อช่วยลดความตึงเครียดต่างๆ ทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย การหัวเราะทำให้จิตใจเบิกบาน มีการกระเพื่อมของหน้าท้อง หัวใจปอดได้ออกกำลัง มีผลถึงกล้ามเนื้อหัวไหล่ แขน หลัง กระบังลม และขา เกิดความพึงพอใจในความสุข นอกจากนี้ไม่ควร มองโลกในแง่ร้าย เวลาจะทำอะไรต้องหาจุดดีของเรื่องนั้นให้พบ เมื่อพบแล้วทำความพอใจและชื่นชม ก็จะเกิดแต่ความดีงาม

5. ไม่ควรเก็บอารมณ์ขุ่นมัว

การเก็บกดอารมณ์ทำให้เกิดความ ขุ่นมัว สับสน วุ่นวายใจ เป็นการก่อให้เกิดความตึงเครียด ทางอารมณ์ ผลทำให้สีหน้าหม่นหมอง น่าเกลียด ขากรรไกรประกบกันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย เหี่ยวย่น ผมสีเทา-ขาว ผมร่วง โรคผื่นคัน พุพอง และสิวตามมา เราควรต้องหาทางระบายอารมณ์ที่ขุ่นมัว โดยการแสดงออกในทางที่สังคมยอมรับและได้ตอบสนองตามความต้องการของเรา แต่ถ้าพบความยุ่งยากใจเพิ่มขึ้น ก็ควรหาวิธีหลีกเลี่ยงเสียก่อน เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์จะเผชิญความตึงเครียดทางอารมณ์ได้ถึง ขีดหนึ่งเท่านั้น จากนั้นต้องหาทางผ่อนคลาย ดังคำกลอนที่ว่า

เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง

วุ่นก็ให้ว่าง ทุกอย่างก็สบาย

6. ควรมีงานอดิเรกและการพักผ่อนหย่อนใจ

ควรหาอะไรที่ชอบและพอใจทำ ทำในเวลาว่างที่เหลือจากกิจวัตรประจำวัน การทำอะไรในสิ่งที่พึงพอใจย่อมเกิดความสุขเพลิดเพลิน ทำให้ไม่มีเวลาว่าง ที่จะคิดกังวลเรื่องต่างๆ เป็นการฝึกการใช้เวลาว่างนั้นๆให้มีสมาธิในการทำสิ่งที่พอใจ ซึ่งจิตมีสมาธิจะเป็นจิตที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวง่าย พบว่า งานอดิเรกที่เกี่ยวกับกีฬาจะช่วยให้มีความสุข สนุกสนาน ร่าเริง แจ่มใส นอกจากนั้นการได้ท่องเที่ยวไปกับธรรมชาติที่กว้างใหญ่ เช่น ท้องฟ้า ทะเล ป่าเขาลำเนาไพร จะก่อให้เกิดความปลอดโปร่ง สดชื่น มีความสุข และถ้าต้องการทำจิตให้เป็นสมาธิในทางศาสนาจะก่อให้เกิดความสงบสุขทางใจเป็นอย่างมาก

7. หาสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ

แต่ละชีวิตย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป เราจึงควรหาเพื่อนหรือใครสักคนที่สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขได้ ค้นหาคนที่คุณรักและเขารักคุณ ช่วยเหลือเกื้อกูล ปลอบขวัญ บำรุงจิตใจซึ่งกันและกัน สามารถที่จะระบายทุกข์ ปรึกษาขอความคิดเห็น การแก้ไขปัญหาต่างๆ หรือในที่สุดอาจจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแนะแนวและการบำบัดทางจิตโดยเฉพาะ ทั้งนี้ขึ้นกับปัญหาความซับซ้อน ซึ่งนับเป็นวิธีการแก้ปัญหาการปรับตัวตั้งแต่ต้นที่ชาญฉลาด

8. พร้อมที่จะเผชิญปัญหาและความกังวลใจ

เมื่อพบอุปสรรค พึงพิจารณาปัญหาอย่างใช้เหตุและผล โดยค้นหาข้อเท็จจริง มองปัญหานั้นๆและหาวิธีการต่างๆในการแก้ปัญหา ทำการตัดสินใจ แล้วปฏิบัติตามที่ได้ตัดสินใจไว้ หรือถ้าปัญหารุมเร้ามากจนต้องการหลีกให้พ้น “จงใช้ชีวิต อยู่เพื่อวันนี้เท่านั้น” ดังคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุว่า

สิ่งล่วงแล้ว แล้วไป อย่าใฝ่หา

ที่ไม่มา ก็อย่าพึง คนึงหวัง

อันวันวาน ผ่านพ้น ไม่วนวัง

วันข้างหน้า หรือก็ยัง ไม่มาเลย

หรือถ้าปัญหาต้อนท่านไปจนมุม ให้มองพิจารณาดูผลร้ายที่เกิดขึ้นแล้วทำใจให้ยินดีเผชิญกับสิ่งนั้นๆ เมื่อเวลาผ่านไปให้พิจารณาว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ทำลายความสุขแห่งชีวิตมามาก เพียงพอแล้ว แล้วหันกลับใช้เหตุผลในการพิจารณาแก้ไขสิ่งร้ายๆให้กลายเป็นดีด้วยใจสุขุมเยือกเย็น ท่านก็จะผ่านพ้นอุปสรรคไปได้

9. ใช้เวลาเป็นยารักษาความเจ็บปวด

เมื่อพบกับความผิดหวังจงใช้เวลาเป็นเครื่องช่วยเยียวยา เมื่อพลาดหวังแล้วจงอดทน และมีความหวังต่อไป ความหวังเป็นพลังหรือแรงจูงใจ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต เมื่อประสบความผิดหวัง ไม่ควรใช้วิธีถอยหนีหรือเลี่ยงปัญหา ควรคิดเสมอว่า “ท้อแท้-หงอย ท้อถอย-แพ้” เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ไม่ควรแก้ปัญหาโดยใช้สิ่งเสพย์ติด เช่นสุรา หรือยาบางชนิด เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ลืมความทุกข์ ได้เพียงชั่วขณะ ไม่ทำให้เราพิจารณาใช้ความคิดในการแก้ปัญหา เป็นการหลีกหนีปัญหาที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง

10. ค้นหาเป้าหมายของชีวิต

การคิดฝันไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีความคิดฝันที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ซึ่งความคิดฝันจะทำให้เรามีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ มีแรงจูงใจ มีการตั้งเป้าหมายในชีวิตใกล้เคียง กับความสามารถที่แท้จริงและสอดคล้อง กับความเชื่อและอุดมคติ แล้วทำการลงมือปฏิบัติเพื่อไปสู่ เป้าหมาย ถ้าทำเช่นนี้ได้เราก็จะประสบความสำเร็จและความสมหวัง เกิดความสุขทางใจได้

จากสิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นการเสนอแนวทางในการปฏิบัติอย่างกว้างๆการทำตัวให้มีความสุขได้เพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ ต้องอาศัยการเรียนรู้ และหาวิธีการ แล้วนำไปดัดแปลง ปรับปรุงให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการของผู้ต้องการแสวงหาความสุขนั่นเอง



ในท้ายที่สุดขอฝาก

อันทุกข์สุขอยู่ที่ใจ มิใช่หรือ ใจเราถือเป็นทุกข์ไม่สุกใส

ใจไม่ถือเป็นสุขไม่ทุกข์ใจ เราอยากได้ความทุกข์หรือสุขนา



“ขอให้ท่านผู้อ่านจงประสบแต่ความสุข.......”

4 ต.ค. 2554

18 วิธีเสริมสร้างกำลังใจ.....




คนเราทุกคน ล้วนมีโอกาสที่จะประสบกับช่วงเวลา ที่เกิดอารมณ์เศร้าหมอง หดหู่ และยิ่งเรารู้สึกไม่ดี หรือเก็บความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้กับตัวเรามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งส่งผลเสียกับตัวเองมากเท่านั้น... ในความเป็นจริงแล้ว มีวิธีที่จะสามารถแก้ไขในเรื่องนี้ได้ ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ จะสามารถช่วยเสริมสร้างกำลังใจ'>เสริมสร้างกำลังใจให้กับตัวคุณ ช่วยให้คุณคิดอะไรในทางบวก และเพิ่มความสุขในชีวิตให้มากขึ้น



อันดับที่ 8. ฝึกการหายใจ
การหายใจของคนเราเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นลึกลงไปใน ‘จิตใต้สำนึก’ เสียด้วยซ้ำ... ศาสตร์ทั้งในตะวันออก และตะวันตก ได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า ถ้าเราสามารถรับรู้ถึงจังหวะการหายใจ และหายใจด้วยวิธีที่ถูกต้อง ก็จะมีส่วนช่วยในการลดความตึงเครียดลงได้มาก
เพียงแค่ฝึกการหายใจเข้า – ออก อย่างช้าๆ จะช่วยให้คุณมีใจจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน และช่วยเพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี



อันดับที่ 7. สร้างเสียงหัวเราะ
การหัวเราะ คือยาขนานเอก (ที่ไม่ต้องเสียตังค์ศื้อซะด้วย).. เพิ่มเสียงหัวเราะและความอารมณ์ดี ได้ด้วยการดูหนังตลกๆ หรือพกหนังสือตลกๆ ติดไม้ติดมือเอาไว้อ่านยามว่าง ยิ่งไปกว่านั้น การได้หัวเราะออกมาแบบสุดๆ (ขนาดพุงกระเพื่อม) จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และช่วยให้คุณมองเห็นมุมมอง ในการแก้ไขปัญหา ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส... วันนี้คุณหัวเราะแล้วหรือยัง?



อันดับที่ 6. เข้าหาธรรมชาติ
ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ นั่งเล่นสบายๆที่น้ำพุ สูดอากาศบริสุทธ์ ปลูกต้นไม้สวยๆ ที่ระเบียงบ้าน ออกไปเที่ยวพักผ่อนตามต่างจังหวัดเพื่อชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงาม ทั้งน้ำตก ขุนเขา และท้องทะเล พลังที่มีอยู่ในธรรมชาติ จะช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้กับคุณ



อันดับที่ 5. ออกกำลังกาย
เริ่มต้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยการทำอะไรอย่างกระฉับกระเฉง เพื่อให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หรือถ้าทำงานจนไม่มีเวลา ก็ลองการออกกำลังกายแบบใหม่ๆ อย่างเช่น วันไหน ที่รถติดมาก ก็ลองลงรถเมล์ก่อนถึงบ้านสัก 2 ป้าย แล้วเดินกลับบ้าน นี่เป็นการออกกำลังกายอย่างง่ายๆ โดยไม่เสียเวลา
หรือยามมีเวลาว่างในวันหยุดพักผ่อน ก็อาจจะออกไปวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือปั่นจักรยานตามสวนสาธารณะ.... ร่างกายที่แข็งแรง จะส่งผลให้กลไกต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี และมีสภาพจิตใตที่ดีขึ้นตามมา



อันดับที่ 4. นึกถึงเรื่องราวดีๆ
รำลึกถึงช่วงเวลาๆ ดี ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เช่น ช่วงเวลาสนุกๆ ระหว่างเพื่อนสนิท ช่วงเวลาแห่งความสุข ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนแฟน หรือ ช่วงเวลาของความอบอุ่นภายในครอบครัว หยิบรูปเก่าๆ ขึ้นมาดูบ้าง เมื่อมีโอกาส เปิดดูการ์ดเก่าๆ ที่เคยมีคนเขียนข้อความดีๆ เอาไว้ให้ แล้วยิ้มกับมันอีกครั้ง รับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ ว่ายังมีคนที่ห่วงใยคุณอยู่



อันดับที่ 3. เห็นคุณค่าในตัวเอง
แยกรายการสิ่งที่คุณคิดว่ายอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของคุณ ออกมาสัก 3 -5 หัวข้อ พิจารณาดูแต่ละเรื่อง ว่าสิ่งไหนที่ทำแล้ว จะส่งผลดีๆ ให้กับชีวิต ได้ทำสิ่งที่ชอบและเกิดผลดีไปพร้อมๆ กัน จะช่วยสร้างกำลังใจ และแรงผลักดันให้ทำสิ่งต่างๆ อย่างมีความสุข



อันดับที่ 2. เพิ่มความใส่ใจลงไปในสิ่งที่ชอบ
ไม่ว่าจะชอบอะไร... ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว แต่งรถ ชอปปิ๊ง ตกแต่งบ้าน ฯลฯ... การให้ความใส่ใจเพิ่มเติม ถึงสิ่งที่เราชอบอย่างจริงๆ จังๆ จะสามารถช่วยลดความรู้สึกเบื่อ และเสริมสร้างกำลังใจ'>เสริมสร้างกำลังใจให้กับชีวิต ได้อย่างตรงประเด็น



อันดับที่ 1. รู้จักกล่าวคำขอโทษ
ความรู้สึกละอายใจ และเสียใจ จาการที่เรากระทำความผิด สามารถสร้างความกังวลใจให้เกิดขึ้นได้มาก
ดังนั้น การรู้จักกล่าวคำขอโทษด้วยความจริงใจ หลังจากที่คุณทำผิดกับผู้อื่น จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย เหมือนการปลดปล่อยภาระในตัวออกไป



ในระบบของดาวเคราะห์ที่เรียกว่า ‘โลก’ ซึ่งเราอาศัยอยู่ มีสิ่งที่เรียกว่า “การกระทำความความผิด” แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีสิ่งที่เรียกว่า “การขอโทษ” เป็นของคู่กันอยู่ด้วย และข้อหลัง ก็คือพื้นฐานที่ดี สำหรับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข บนโลกใบนี้





ขอบคุณ : naddate.com

18 คำตอบ เวลาที่คุณรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง....



เวลาที่เราอ่อนเพลีย เรามักโทษความเครียดและการนอนน้อย แต่ยังมีสิ่งผิดปกติอื่นอีกที่สามารถสูบพลังจนหมดตัวคุณได้ โชคดีที่เรามีวิธีเรียกพลังใจและกายกลับคืนมา

1.ใช้โทรศัพท์มากเกินไป คุณจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูด ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า “phone-fatigue” ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า อาการขาดน้ำทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจนในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน ดังนั้น ถ้าคุณใช้โทรศัพท์นาน ควรดื่มน้ำมากๆ ระหว่างคุย

2.ความดันเลือดต่ำ
ความดันเลือดต่ำคือสาเหตุใหญ่ที่คุณหมดแรง แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลีย อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำคือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุปปับ หรือเวลายืนนานๆ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์

3.เล่นเน็ตถึกเกินไป
ฮอร์โมนเมลาโทนินจะกระตุ้นให้เรานอนหลับ แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์ อาจทำให้เราหลับยาก โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่สนใจอยู่ ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึก และมีเวลานอนหลับน้อยลง ให้คุณทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลายกว่า เช่น อ่านหนังสือแล้วดูสิว่าคุณจะตื่นตัวมากกว่าเดิมในวันใหม่หรือเปล่า

4.กินอาหารไม่เต็มที่
การเฝ้ารออาหารจะเพิ่มปริมาณน้ำย่อย และทำให้เราดูดซับสารอาหารได้มากขึ้น ที่มันเกี่ยวกับอาการอ่อนเพลียก็เพราะการขาดธาตุเหล็กคือหนึ่งในสาเหตุของความอ่อนเพลียที่พบมากในผู้หญิง ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เพิ่มระดับสารอาหารให้คุณ ก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ด้วย

5.ไม่ออกกำลัง
นักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังอย่างน้อย 20 นาที แม้จะแค่อาทิตย์ละครั้งก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังเลยประมาณ 30% ถ้าเห็นว่าออกกำลังเป็นเรื่องยากเกินไป ให้คุณกินผักและผลไม้เพิ่ม คนที่กินผักผลไม้อย่างน้อย 4-5 จานต่อวันจะออกกำลังได้อย่างสบายๆ

6.อิทธิพลของเดือนเกิด
ถ้าคุณเกิดเดือนธันวาคม หรือมกราคม จะอ่อนเพลียใหนช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคมที่จะขี้เซาในยามเช้า นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดดยามเช้าประมาณ 15 นาที จะทำให้คนประเภทหลังตาสว่าง ส่วนกาแฟยามบ่ายจะเพิ่มพลังให้กับคนประเภทแรก

7.กรามแข็ง
คุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ คุณคงมีปัญหาที่เรียกว่าโรค TMJ (temporomandi bular joint) แพทย์บอกว่ามันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม และตำแหน่งของฟัน อาการทั่วไปคืออ่อนเพลียและปวดหัว ปวดคอ หรือไหล่ ควรปรึกษาทันตแพทย์

8.ธรณีหน้าต่างสกปรก
จากการวิจัยพบว่า 88% ของบ้านทั่วไปจะมีราขึ้นตามหน้าต่าง และการแพ้เชื้อราเหล่านี้เองคือ สาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลีย ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดและตรวจดูผ้าม่านอาบน้ำของคุณด้วยว่ามีราหรือเปล่า

9.ไม่ได้เอาผ้าห่มไปผึ่งแดด
ระดับความขึ้นสูงทำให้ไรฝุ่นเติบโตได้ดี มันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับไม่สนิท และเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียในวันต่อมา นำผ้าห่มผึ่งแดดเป็นประจำ เมื่อความชื้นหมดไป ก็ไม่มีไรฝุ่น

10.เชื่องช้า งุ่มงาม ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อคุณงุ่มง่าม เพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง คุณเลยอ่อนเพลีย การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดทำได้โดยเหวี่ยงแขนไปหน้าและหลัง สลับทีละแขน

11.อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้าย
คนที่มองทุกอย่างในแง่ร้ายจะฉุดพลังคุณหดหายไปด้วย เพื่อลดอิทธิพลของพวกเขา ให้จินตนาการว่าคุณกำลังใส่เสื้อคลุมสีดำเวลาคุยกัน ก็จะยับยั้งไม่ให้คุณดูดพลังแง่ลบจากพวกเขาได้

12.อยู่ใกล้เครื่องใช้ ไฟฟ้ามากเกินไป
ขั้วบวกที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ หรือเครื่องปรับอากาศอาจกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนที่ทำให้เราอ่อนเพลียและซึมเศร้า ให้เสียบปลั๊กตัวแปลงขั้วไฟฟ้าเพื่อเพิ่มระดับของขั้วลบที่เสริมพลังในอากาศ

13.ลืมดื่มกาแฟตอนเช้า
ถ้าคุณไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า พลังกายและใจอาจตกวูบในวันนี้ จากงานวิจัยพบว่า ผู้ร่วมวิจัย 50% มีอาการอ่อนเพลียถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟถ้วยแรกของวัน ซึ่งมีถึง 13% ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

14.บ้านรก
ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยบอกว่ากองสิ่งของรกเกะกะจะทำให้สถานที่นั้นขาดพลังและกระตุ้นให้คุณขาดพลังไปด้วย คุณไม่ต้องถึงกับเก็บทุกอย่างในทันที แค่สะสางพื้นที่อาทิตย์ละครั้งก็ใช้ได้

แม้ว่าการเจ็บหน้าอกคือสัญญาณหลักๆ บอกถึงอาการโรคหัวใจ แต่สำหรับเพศหญิง สัญญาณนั้นอาจเป็นความอ่อนเพลีย ซึ่งมีมากถึง 70% ที่อ่อนเพลียภายในเดือนนั้น ก่อนหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆอาจรวมถึงการนอนไม่หลับ หายใจขาดห้วง อาหารไม่ย่อยและความเครียด 43% ของผู้หญิงไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบก็ตาม พบผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนเป็นโรคหัวใจน้อยมาก แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี ควรตรวจร่างกาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่ ความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง เป็นเบาหวาน หรือคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

16.กลั้นหาว
การหาวเป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เราตื่น นักจิตวิทยาบอกว่าการเคลื่อนไหวของกรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า ซึ่งส่งเลือดไปยังสมอง การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้และทำให้คุณยิ่งง่วงนอนมากขี้น

17.ใช้ชีวิตตามตาราง
ตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่าต้องทำอะไรบ้างคือตัวดูดพลังชั้นดี นักวิจัยพบว่าคนที่คิดว่าเขาทำอะไรไปได้มากแค่ไหนมักจะอ่อนเพลียง่ายกว่าคนที่ทำสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อยๆ

18.หมอนเก่าเกินไป
ถ้าหมอนของคุณยวบยาบไม่แข็งพอ จะทำให้ลำคอของคุณไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวซึ่งทำให้คุณนอนไม่หลับแล้ว ยังไปกีดขวางระบบการหายใจเวลาคุณหลับด้วยถ้าหมอนของคุณอ่อนนิ่มจนโอบรอบแขนคุณได้ ก็ถึงเวลาซื้อใบใหม่แล้ว

ขอขอบคุณ ที่มา:นิตยสาร cleo

ห่างไกลเหลือเกิน......



เมื่อวันที่เราต้องห่างกันไกล
รู้ไหมว่าหัวใจยังห่วงหา
ไม่อยากให้เราไกลสายตา
อยู่ใกล้คงดีกว่าต้องห่างกัน

เธอบอกไว้ว่าเพราะเป็นหน้าที่
คนดี ตัวฉันนี้ ใจสั่น สั่น
รู้ไหมแต่ละครั้งที่ไกลกัน
ฉันเองนึกหวาดหวั่นทั้งกายใจ

อยากมีเธออยู่ข้าง-ข้าง
ยามอ้างว้างมีเธอปลอบขวัญให้
ยามทุกข์ท้อ เธอเป็นกำลังใจ
ยามร้องไห้เธอช่วยซับน้ำตา

ต่อแต่นี้ยามที่เราต้องไกล
หัวใจคงไม่สดใสเริงร่า
เพราะคนที่ทำให้ฉันหัวเราะ..
......อยู่ทุกครา.....
กำลังจะห่างฉัน ไปไกลตาอีกนาน

เธอบอกให้ฉันเข้มแข็งไว้
จะไม่เปลี่ยนไป แม้เวลาหมุนผ่าน
เคยรักอยู่เช่นไร ก็ยังรักเช่นวันวาน
แม้อีกนาน กว่าเราจะได้พบกัน

ฉันจะจำคำเธอเก็บเอาไว้
บอกตัวเองให้ใจไม่ไหวหวั่น
รอวันคนดี กลับมาเพื่อผูกพัน
ต่อเติม แต่งฝัน วันห่างไกล

แต่ละวันที่เรานั้นไกลห่าง
ความอ้างว้างคลืบคลานเข้ามาใกล้
ความเหงาแวะเวียนมาในหัวใจ
ให้ฉันได้คิดถึงเธออยู่ทุกวัน

ฉันเหงา เธอจะเหงาบ้างหรือไม่
ฉันทุกข์ใจ ไม่มีเธอปลอบขวัญ
ในวันนี้ ซึ่งเรายังห่างกัน
ฤดูกาล แสนเนิ่นนาน จะผ่านไป

ยามห่างไกล หัวใจยังคิดถึง
ความรัก ยังตรึงใจสองเราไว้
ความผูกพัน ยังรอคนของใจ
ความฝันยังสดใส เพื่อรอเธอ

เสร็จงานแล้วรีบกลับนะคนดี
ทุกวินาทีห่วงใย อยู่เสมอ
ทุกคืนวัน ฉันยังคงละเมอ
รอเพียงเธอคืนกลับ ยามห่างไกล

1 ต.ค. 2554

ใจสลาย...ในสายฝน

 




สายฝนหลั่งพรั่งพลูดูแล้วเศร้า

ได้นำเอาความสลดหดหู่เหลือ

สูญหมดสิ้นดินถล่มจมเป็นเบือ

ไม่มีเหลือเมื่ออับเฉาเศร้าอาดูร

ฝนไหลหลั่งพรั่งพลูดูวันนี้

ทุกชีวีนี้มืดดับล้วนอับสูญ

พืชไร่นาไม่มีค่ามาเจือจุน

สิ่งเกื้อหนุนพาให้รอดไม่ปลอดภัย

ฝนเทหลั่งพรั่งพลูดูไหลหลาก

ล้วนลงจากเนินผาศิลาไหล

โคลนถล่มดินทลายแล้วไหลไป

พัดพามวลพฤกษาไพรให้ทับเรือน

ชีวิตและทรัพย์สินสิ้นหมดแล้ว

โอ้ดวงแก้วใจจะขาดมีดบาดเฉือน

เหตุการณ์เกิดครั้งนี้ไม่มีเลือน

ติดตราเตือนตรึงใจไปอีกนาน

ชีวิตที่ล่วงลับกับน้ำหลาก

มาพรัดพรากด่วนจากไปให้สงสาร

พ่อแม่ญาติพี่น้องผองวงศ์วาน

แสนร้าวราญสุดรันทดอดสูใจ





กลอนดี ๆ :คุณเปรมยุดา อาคะราช

รักแท้...ไม่แพ้ใกล้ชิด




เรื่องดี ๆ และ ขอบคุณ Teenee.com

รักแท้...ไม่แพ้ใกล้ชิด

คนที่มีความรักแท้เท่านั้นที่จะเข้าใจว่า ความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร... แต่รักแท้ ไม่ใช่หาได้ง่าย บางคนแสวงหาความรักแท้จนเข้าวัยชราจึงจะพบก็มี หลายคนเมื่อย่างเข้าวัย 30 แล้ว ยังคงอยู่เป็นโสดก็เริ่มสงสัยว่า ในชีวิตของเราจะพบกับความรักไหมหนอ จะได้อยู่ครองคู่กับคนรักไหม ทำไมจึงยังไม่มีใครมารักเรา บางครั้งเขารักกับใครไปจนทั่ว แต่หา เธอ คนนั้นไม่พบ เขาคิดเข้าข้างตัวเองว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น และเขาก็อกหักอยู่เป็นประจำ เพราะเธอทอดทิ้งเขาไป หาหนุ่มคนใหม่ที่อาจจะมีเสน่ห์กว่า เอาใจมากกว่า และแน่นอน อาจจะร่ำรวยกว่า จนมีคำเขียนท้ายรถว่า รักแท้แพ้เงินตรา และ เงินจางนางจร แต่ไม่จริงหรอกครับ ที่ผู้หญิงจะคิดถึงเงินตรามากกว่าความรัก แม้ว่าในยุคนี้เป็นยุคแห่งวัตถุนิยม ทุกคนแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเพื่อร่ำรวย เพื่ออำนาจวาสนา เพื่อชื่อเสียง ในท้ายที่สุดแล้วถ้าเธอจะเลือก เธอจะเลือก "ความรัก" ขอแต่คุณ

ทำให้เธอแน่ใจเท่านั้นละครับว่า คุณรักเธอจริง ผู้หญิงเกือบทุกคนมีสัญชาตญาณที่จะรับรู้ว่า เขา คนนั้น รักเธอจริงหรือไม่ และเมื่อเธอทราบว่า เขารักเธอ เธอจะเลือกที่ยืนเคียงข้างเขา เธอสามารถที่จะสละความสุขสบายส่วนตัวเพื่อเขาได้ รวมทั้งในยามที่คับขัน เธออาจที่จะเสียสละชีวิตของเธอเพื่อปกป้องเขาผู้เป็นที่รัก อ่านแล้วอาจจะเหมือนนิยายในฝัน จริงครับ ยากนักที่จะหาในยุคสมัยนี้ แต่ถ้าคุณอดทนรอคอยและแสวงหา...วันหนึ่งคุณจะพบ โลกเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่หลีกหนีธรรมชาติไปมากจนเกือบจะถึงที่สุดแล้ว ไม่ช้าไม่นาน ลูกตุ้มแห่งกาลเวลาก็จะย้อนกลับ และนำเอาความรักที่ดีงามตามธรรมชาติกลับคืนมา เธอก็หาเขาอยู่! เธอมีความรักก็หลายครั้ง เธอผิดหวัง เธอเสียใจ เธอแอบร้องไห้คนเดียว โดยไม่หวังจะให้ใครมาเห็นใจหรือปลอบใจ แต่เธอก็มีกำลังใจที่จะสู้โลกและชีวิตนี้ต่อไป... เพราะพรหมลิขิตบอกให้เธอรอที่จะพบเขา



พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ... เออชะรอยคงเป็นเนื้อคู่ เคยอุ้มชูเลี้ยงดูบำเรอ แต่ครั้งแรกเมื่อพบเธอ ใจฉันเชื่อเมื่อแรกเจอ ฉันและเธอคือคู่สร้างมา



เพลง "พรหมลิขิต" ขับร้องและทำนองโดยครูเอื้อ สุนทรสนาน ปราชญ์และบรมครูแห่งวงสุนทราภรณ์ เพลงนี้เป็นที่กินใจของหนุ่มสาวในยุคหนึ่งเป็นยิ่งนัก เพราะคิดกันว่า การที่คนสองคนจะต้องมามีสัมพันธภาพกันนั้น เป็นลิขิตของฟ้า เคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิต และบุพเพสันนิวาสบ้างไหม... ในบทเพลง บุพเพสันนิวาส นั้น ครูเอื้อขับร้องได้ไพเราะเพราะพริ้งว่า



รักไม่มีพรมแดน รักไม่มีศาสนา แม้นใครบุญญาได้ครองกันมา พรหมลิขิตพาชื่นใจ



รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ ความรักเช่นนั้นให้โทษ อย่าไปโกรธโทษรักไม่ได้



ความรักของหนุ่มสาวในทุกยุคทุกสมัย มักจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันด่วน เรียกว่า เจอหน้าก็ปิ๊งเลย และบางครั้งก็กลายเป็นรักชั่วข้ามคืน ที่เมื่อเสร็จสมอารมณ์รักแล้ว ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เหมือนคนแปลกหน้าสองคนที่มาพบกัน แล้วแยกจากกันไป คุณเชื่อในความรักไหม คุณเชื่อไหม...ว่าอำนาจของความรักมีจริง อานุภาพแห่งความรักแท้นั้น เหลือที่จะกล่าวอ้างถึงได้ เพราะในความรักแท้นั้น คุณอยากให้เขาได้ดีมีสุข อยากให้เธอเจริญก้าวหน้ามีอนาคตที่มั่นคงสดใส ปลอดภัยจากภยันตรายต่าง ๆ ที่จะมากรายใกล้ และจะคอยเฝ้าห่วงและดูแลเธอจนกว่าความตายจะมาแยกเธอไปจากเขา คนที่มีความรักแท้จะมีความสุข คนที่มีความรักแท้จะมั่นใจในความรัก เขาคนนั้นอยู่ที่ไหน... รักแท้เป็นฉันใด เธออยากที่จะรู้ ถ้าคุณเป็นเขาคนนั้น... วันหนึ่งคุณก็พบเธอ คุณรู้ทันทีว่า เธอคนนี้แหละที่รอคอยพบกับคุณอยู่ เธอเป็นคู่ของคุณ คู่ที่อาจจะตามมาพบจากชาติภพหนึ่งมายังอีกชาติภพหนึ่ง ถ้าคุณเชื่อว่า คนเรานั้นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร คุณคงเชื่อว่าในแต่ละชาติภพหนึ่งนั้น คุณจะมีเนื้อคู่อยู่...คู่แท้ในชาติภพนั้น บางครั้งบางครา คู่รักในแต่ละชาติภพจะตามมาพบกับคุณในชาติภพปัจจุบัน!! แบบนี้เส้นลายมือที่เรียกว่า เส้นแห่งความรัก หรือบางคนเรียกว่า เส้นแต่งงานซึ่งอยู่ที่ด้านข้างมือ ใต้นิ้วก้อยคงจะมีมากกว่า 1 เส้น บางเส้นก็จบลงด้วยการแต่งงาน บางเส้นก็จบลงด้วยการแยกทางจากกันไปก่อนวันวิวาห์ บางเส้นอยู่ด้วยกันแบบใช้ชีวิตคู่สักระยะก็ต้องแยกกันไป เพื่อที่จะพบกับคู่อีกคนหนึ่ง นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า คนแรกไม่ใช่คู่แท้ หรืออาจจะเป็นแค่คู่กรรม เมื่อกรรมหมดแล้วก็ต้องแยกจากกันไป รอเวลาที่จะพบกับคู่บุญ...คู่ชีวิต เธอกับเขาที่คิดตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ก็คงจะตอบว่า ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้



แต่เธอกับเขาที่ได้รับปรากฏการณ์ตรงเหล่านั้น โดยหาคำอธิบายอย่างมีเหตุมีผลไม่ได้ก็อาจจะเชื่อว่า บุพเพสันนิวาส และพรหมลิขิตมีจริง บางคนสมหวังในความรัก บางคนผิดหวังในความรัก ไม่ว่าคุณจะสมหวังหรือผิดหวังในความรัก ก็ขออย่าให้หมดหวังในความรัก... เพราะความรักเท่านั้น ที่เป็นสิ่งค้ำจุนทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้



รักแท้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่จืดจางหายไปจากใจของเขาและเธอ



รักแท้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เธอกับเขาจะคิดถึงกันตลอดไปและสม่ำเสมอ



รักแท้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้เธอและเขามีความสุขปราศจากความระแวงในคนรัก



รักแท้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้เธอและเขามองโลกในแง่ดี มีกำลังใจที่จะประกอบกิจการต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้



รักแท้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีความเกลียด แม้จะโกรธกันบ้างตามวิสัยปุถุชน แต่ก็จะให้อภัยกันและระงับการโกรธได้อย่างรวดเร็ว



จะหารักแท้ได้นั้น ต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ รักแรกพบอาจจะเปลี่ยนเป็นความรักแท้ได้ แต่รักแท้นั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่รักแรกพบ รักแท้เกิดจากการฟูมฟักรดน้ำพรวนดิน ต้นไม้แห่งรักให้เจริญเติบโตงอกงามผลิดอกออกผลให้เจ้าของต้นรักได้ภาคภูมิใจ เธอกับเขา เมื่อเกิดรักแท้แล้ว จะเข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้อภัยกันเสมอเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำอะไรผิดพลาดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และตั้งใจที่จะไม่กระทำผิดต่อเธอและเขาผู้เป็นที่รักอีก คนที่มีรักแท้และเข้าใจกันเท่านั้นที่จะพบความสุขของการใช้ชีวิตคู่ ไม่ว่าจะอยู่รวมกันในบ้านเดียวกัน หรือแยกกันอยู่เพราะหน้าที่การงานหรือเหตุผลส่วนตัวอื่น ๆ เธอกับเขา ในความเป็นจริงแล้ว แตกต่างทั้งในทางความคิดความอ่าน รวมทั้งการแสดงออกต่าง ๆ



จอห์นเกรย์ เขียนหนังสือพอคเก็ตบุ๊คขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เรื่อง Woman Are From Venus Men Are From Mars ก็เพราะความแตกต่างของเธอกับเขา เธอเป็นเทพธิดาผู้อ่อนหวานและน่ารักจากดาวพระศุกร์ เขาเป็นเทพบุตรนักรบผู้ห้าวหาญจากดาวอังคาร



เธอมีความเข้มแข็งซ่อนอยู่ภายใต้ความอ่อนแอที่แสดงออกทางภายนอก เขามีความอ่อนแออยู่ลึกๆ ภายใน ภายใต้สีหน้า แววตา และร่างกายที่บึกบึนของเขา เธอและเขาต่างก็มีจุดอ่อน และจุดแข็งอยู่ในตนเอง ถ้าเธอและเขารักกันเข้าใจกันแล้ว ทั้งเธอและเขาจะสามารถช่วยปิดบังจุดอ่อนของอีกฝ่ายไว้ได้ และจะช่วยกันเสริมสร้างจุดแข็งของแต่ละฝ่ายให้แสดงออกมา ...แบบนี้ รักแท้ ไม่มีทางแพ้ใกล้ชิด

.